เข้าใจจิตใต้สำนึก และพลังลับของดนตรีที่คุณอาจไม่เคยรู้ตัวว่ากำลังถูก “สั่งการ” อยู่ทุกวัน

ลองนึกภาพคุณนั่งอยู่บนรถกลับบ้านตอนเย็น เพลงเก่าเพลงหนึ่งดังขึ้นมา คุณไม่ได้ร้องตาม แต่จู่ๆ ใจมันก็วูบไหว มีความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวันเก่า ๆ อาจมีภาพอดีตฉายกลับขึ้นมาในใจแบบไม่ทันตั้งตัว นี่ไม่ใช่เวทย์มนตร์ครับ แต่มันคือการทำงานของจิตใต้สำนึก เสมือนการการถูก ‘สะกดจิตทางเสียง’ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ดนตรี 

จิตใต้สำนึกคืออะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับเพลง? 

ก่อนจะพูดถึงการ “สะกดจิต” เราต้องเข้าใจเพื่อนสนิทของมันก่อน นั่นคือ จิตใต้สำนึก (subconscious mind) 

จิตใต้สำนึกคือระบบอัตโนมัติในสมองของคุณ มันควบคุมความเคยชิน ความกลัว ความมั่นใจ ความฝังใจ ฯลฯ และที่สำคัญคือ: มันไม่แยกแยะ “จริง” หรือ “เล่น” อะไรที่ได้ยินบ่อย มันก็รับเป็นความจริงเสมอ! 

การสะกดจิตทำงานยังไง? 

การสะกดจิต (hypnosis) คือกระบวนการที่ทำให้คน “เปิดใจ” และ “ไวต่อคำแนะนำ” มากขึ้น 

โดยทั่วไปการสะกดจิต จะมีขั้นตอนหลักๆคือ : 

1. ทำให้ผ่อนคลาย โดยใช้คำพูดชี้นำ เปลี่ยนความคิดเป็นความรู้สึก (Feeling)

2. ลดความถี่คลื่นสมอง จากภาวะตื่นตัว (Beta) เป็นผ่อนคลาย (Alpha) และจากผ่อนคลาย เป็นภวังค์ (Theta)

3. มีสมาธิจดจ่อกับ ‘คำสั่ง’ ในสภาวะผ่อนคลาย (Focus but Relax)

 4. สั่งซ้ำๆ (Repeat)

แล้วเพลงเกี่ยวอะไรด้วย? ลองเปรียบเทียบดูครับ…

เมื่อเราฟังเพลง เพลงมีคุณสมบัติทำให้เราผ่อนคลาย ปกติเพลงจะชักนำคลื่นสมองเข้าสู่ภาวะ Alpha อยู่แล้ว แต่บางครั้งเมื่อเราชอบเพลงใดเพลงหนึ่งมากๆ เพลงนั้นสามารถทำให้คลื่นสมองดิ่งถึงโซน Theta ได้ ซึ่งเป็นภาวะคล้ายฝันกลางวัน หรือคล้ายตอนที่เราดูหนังสนุกแล้วลืมตัวตน ในสภาวะนั้นเราจะมีสมาธิแบบผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว และธรรมชาติของคนฟังเพลงคือการฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก

กล่าวง่ายๆ คือ เพลงก็มีองค์ประกอบครบทุกข้อของการสะกดจิต และที่น่ากลัวคือ — คุณเป็นคนเลือกมันเอง และยอมให้มันสะกดโดยไม่รู้ตัว 

ตัวอย่างจากงานวิจัย 

  • งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford (2006) พบว่า “ดนตรีสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองในระดับที่คล้ายกับการฝึกสมาธิหรือการสะกดจิตได้” 
  • งานศึกษาของ Journal of Music Therapy (2013) รายงานว่าเพลงที่มีจังหวะช้าและเสียงร้องที่ซ้ำสามารถทำให้สมองเข้าสู่ คลื่น Theta ได้ง่าย ซึ่งเป็นคลื่นเดียวกับที่สมองใช้ตอนถูกสะกดจิตหรือฝันกลางวัน 
  • นักประสาทวิทยา Oliver Sacks ยังเขียนไว้ในหนังสือ Musicophilia ว่า “เสียงเพลงสามารถฝังความรู้สึก ความเชื่อ และแรงขับทางอารมณ์ไว้ในระบบประสาทของคนเราได้ลึกยิ่งกว่าคำพูดธรรมดา” 

เรียนรู้จากประสบการณ์จริง

เพื่อนหนึ่งที่ผมรู้จัก เป็นคนน่ารัก นิสัยดี ฐานะมั่นคง เติบโตมาในครอบครัวอบอุ่น แต่ต้องอกหักซ้ำซากอย่างน่าประหลาด ผมแอบสังเกตเห็นว่า เมื่อใดที่ความรักของเธอกำลังไปได้สวย เธอจะเริ่มสร้างเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้งจนต้องเลิกรากันไปในที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยครับ….. เพลย์ลิสต์ของเธอมีแต่เพลงอกหัก 

แล้วเราควรทำยังไง? 

อย่าตกใจครับ ดนตรีไม่ได้แค่สะกดเราในทางลบเสมอไป มันสามารถเป็นเครื่องมือ “สะกดจิตเชิงบวก” ได้เช่นกัน ถ้าเราเลือกอย่างมีสติ เคล็ดลับง่ายๆ: 

  • สังเกตเนื้อเพลง ที่คุณฟังซ้ำบ่อยๆ ว่ามัน “สะกดให้คุณเชื่ออะไร” 
  • สร้าง “เพลย์ลิสต์เชิงบวก” ที่เนื้อหาสร้างพลัง สร้างความหวัง สร้างศักยภาพในตัวเอง 
  • ฟังเพลงในช่วงก่อนนอนหรือหลังตื่น — เพราะเป็นช่วงที่จิตใต้สำนึกเปิดรับได้มากที่สุด 

เพลงไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณฟัง — มันคือสิ่งที่คุณ “กลายเป็น” ดนตรีไม่เพียงทำให้เรารู้สึก มันเปลี่ยน “สิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น” ด้วย ดังนั้น… เลือกเพลงให้เหมือนเลือกคนที่คุณยอมให้พูดกับจิตใต้สำนึกของคุณ เพราะเมื่อฟังไปเรื่อยๆ — คุณจะเชื่อ และทำอย่างนั้นจริงๆ